วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

ที่มาของ "แว่นกันแดด"


แว่นกันแดด ของใช้คู่กายของใครหลายๆ คน ว่ากันว่าแว่นกันแดดมีวิวัฒนาการมาจากการที่จักรพรรดินีโร แห่งอาณาจักรโรมัน ทรงชื่นชอบการทอดพระเนตรการต่อสู้ระหว่างนักสู้และสิงโต ซึ่งเป็นการแสดงเพื่อล่ารางวัลที่ได้รับความนิยมกันในสมัยนั้น โดยพระองค์จะทอดพระเนตรการแสดงกลางแจ้ง ผ่านอัญมณีที่เจียระไนแล้ว คล้ายมรกต เพื่อเป็นการกรองแสงอีกชั้นหนึ่ง ทว่า แว่นกันแดดเริ่มใช้เป็นครั้งแรกในประเทศจีน ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 หรืออาจจะก่อนหน้านั้น ตัวเลนส์ทั้ง 2 ชิ้นของแว่นมีลักษณะแบนเหมือนกระจกบานหน้าต่าง ทำจากแร่ควอทซ์หรือหินเขี้ยวหนุมานสีเขม่า แม้จะไม่ได้มีการดัดแปลงแก้ไขให้เป็นเลนส์ที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็สามารถปกป้องดวงตาจากแสงจ้าได้ ตามบันทึกในเอกสารสมัยใหม่ของจีน อธิบายการใช้แว่นในสมัยนั้นไว้ว่า ผู้พิพากษาในศาลจะใช้แว่นเพื่อปิดบังสีหน้าแววตา ขณะที่สอบปากคำพยานในศาล เพื่อขจัดความลำเอียง ที่อาจทำให้การพิจารณาคดีไม่โปร่งใส ต่อมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 เจมส์ อีสคัฟ ชาวอังกฤษได้ทดลองย้อมสีเลนส์ของแว่นตาด้วยสีฟ้า และสีเขียว โดยเชื่อว่า จะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องในการมองเห็นผ่านแสงอาทิตย์ได้ แต่ไม่ได้คำนึงถึงการป้องกันดวงตาจากแสงอาทิตย์ที่กระทบโดยตรงกับดวงตา ซึ่งยังไม่เป็นแว่นกันแดดที่สมบูรณ์ ในปี 1929 แซม ฟอสเตอร์ เป็นผู้นำการผลิตแว่นกันแดดครั้งละมากๆ และมีราคาถูก เป็นรายแรกในสหรัฐฯ ซึ่งเขาได้ตีตลาดแถบชายหาด ของเมืองแอตแลนติก ซิตี้ ในมลรัฐนิวเจอร์ซีย์เป็นที่แรก ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ฟอสเตอร์ แกรนท์” ของเขาเอง อย่างไรก็ดี เลนส์ของแว่นกันแดดที่ผลิตกันก่อนหน้านี้ ยังเป็นเลนส์ที่ไม่สามารถบังคับคลื่นแสงให้อยู่ในทิศทางเดียวกัน จนกระทั่งปี 1936 เอ็ดวิน เอช แลนด์ เป็นผู้ริเริ่มทดลอง เปลี่ยนเลนส์ของแว่นกันแดด เป็นแผ่นโพลารอยด์ ซึ่งเป็นแผ่นกรองแสงแบบโปร่งใส ที่เขาได้จดสิทธิบัตรไว้ก่อนหน้านั้น ซึ่งถือเป็นแม่แบบของแว่นกันแดดในปัจจุบัน พัฒนาการของแว่นกันแดดอาจจะยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ โดยเมื่อปี 2004 ผู้ผลิตแว่นกันแดดยี่ห้อดัง “Oakley”ของสหรัฐฯ ได้พัฒนาแว่นกันแดดที่มีเครื่องเล่นดิจิตอลในตัว ในอนาคตใครจะไปรู้ว่าแว่นกันแดดธรรมดาๆ คันหนึ่งอาจจะมีลูกเล่นให้บรรดาผู้ที่ชื่นชอบได้ฮือฮากันอีกก็ได้

รู้มั้ย ทำไม! ยาคูลท์ถึงมีแต่ขนาด 80 cc.



ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่ขนาด 80 cc.
เพราะยาคูลท์เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวที่ได้จากการหมัก โดยเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นแบคทีเรียชื่อ แลคโตบาซิลลัส ที่ทำให้เกิดรสชาติเปรี้ยว เนื่องจากเกิดกรดขึ้นมาหลายชนิดระหว่างกระบวนการหมัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรดแลคติก ปัจจุบันใช้เชื้อชื่อ Lactobacillus Balgaricu ร่วมกับ Stroptococcus themophilus ในอุตสาหกรรมผลิตนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตโดยปกติธรรมชาติแล้ว จุลินทรีย์ชนิดนี้มีอยู่แล้วตามทางเดินอาหารของคนเรา และเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ ช่วยทำให้เกิดกระบวนการย่อย และหมักในทางเดินอาหารในส่วนที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถจะย่อยได้ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะคอยช่วยเหลือ แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อเราได้เช่นเดียวกัน คืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เพราะจุลินทรีย์ผลิตกรดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้ยาคูลท์ผลิตขนาดเดียว คือ 80 ซีซี ที่พอเหมาะกับปริมาณของเชื้อแลคโตบาซิลลัส โดยจะสังเกตข้างขวดที่เขียนไว้ว่า มีปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัส 8.0x10 ( ยกกำลัง 9 )ถ้าทำยาคูลท์ให้มีขนาดขวดใหญ่พอๆ กับยาคูทล์ 6 ขวดเล็กรวมกันแล้วละก็ คงไม่ดีต่อผู้บริโภคแน่ เพราะจะทำให้ได้รับปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินพอ หรือถ้าจะทำขนาด 450 ซีซี ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลดปริมาณแลคโตบาซิลลัสลงอาจจะทำได้ แต่เชื่อแน่ว่ารสชาติของยาคูลท์อาจจะเปลี่ยนไปไม่อร่อยเหมือนเคย
และถ้าหากเราทานยาคูลท์วันละ 6 ขวด เพื่อความอร่อยแต่อาจเกิดโทษขึ้นได้ ทานวันล่ะขวดก็เพียงพอแล้ว คนที่ไม่ทานเลยก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าในร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดนี้อยู่เรียบร้อยแล้ว อีกเรื่องที่ควรสังเกต เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่บริโภคยาคูลท์ก็คือ อย่าลืมดูวันหมดอายุข้างขาดและเลือกซื้อจากตู้แช่ที่เก็บไว้ใน อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ได้จุลินทรีย์ที่พร้อมจะทำงานให้เราได้ทันทีครับ

น้ำอัดลม เครื่องดื่มยอดนิยม




"น้ำอัดลม" หรือที่รู้จักกันดีว่า "น้ำขวด" จัดได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น ในปัจจุบันนี้มีให้เลือกดื่ม หลากหลายรสชาติ ยิ่งในช่วงที่อากาศ ร้อนๆ ด้วยแล้ว
ถ้าได้ดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ สักขวดคงพอเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย คุณที่ชอบดื่ม น้ำอัดลมรู้หรือเปล่าคะว่าน้ำอัดลมมีอยู่กี่ประเภท ?
น้ำอัดลมมีอยู่ 2 ประเภทคือ ประเภทเติมคาเฟอีน เช่น โคล่า ซึ่งแบ่งย่อยไปอีกเป็นชนิด ที่ใช้น้ำตาลเป็นสารให้ความหวาน และชนิดที่ใช้สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาเทม แบบนี้จะเรียกกันว่าน้ำอัดลมประเภทไดเอ็ท คนอ้วนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักมักจะซื้อ แบบหลังนี้มาดื่ม น้ำอัดลมอีกประเภทคือไม่มีคาเฟอีน ได้แก่พวกน้ำอัดลมที่มีสีใสและ เติมหัวเชื้อกลิ่นน้ำผลไม้ต่างๆ ที่ได้จากการสังเคราะห์
การดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าในน้ำอัดลม จะมีน้ำตาลอยู่เพียงประมาณร้อยละ 10 แต่ถ้าคุณดื่มกันทุกวัน หรือดื่มทุกมื้ออาหารก็ทำ ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น อีกทั้งก๊าซที่บรรจุลงในขวดน้ำอัดลมก็ทำให้ เกิดอาการแน่นท้องหรือท้องอืด กรดคาร์บอนิคที่เกิดในน้ำอัดลมจะเข้าไปกัดกร่อนเคลือบ ฟัน ทำให้ฟันผุได้ คาเฟอีนที่มีอยู่ในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและหวดศีรษะได้
ไม่ได้ห้ามไม่ให้ดื่มกันนะคะ แต่หากจะดื่มน้ำอัดลมล่ะก็ ระวังกันหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวจะ หาว่าไม่เตือน...

กรุ๊ปเลือด กับการดูแลตัวเอง


กรุ๊ปเลือด กับการดูแลตัวเอง ในปัจจุบันเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพดูจะเป็นเรื่องที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจอย่างมาก การออกกำลังกาย การกินตามกรุ๊ปเลือดดูจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยม มีข้อมูลจากศูนย์สุขภาพมาแนะนำกัน


คนที่มีกรุ๊ปเลือด A จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม ขณะเดียวกันไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง



คนที่มีกรุ๊ปเลือด B เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่


คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด


คนที่มีเลือดกรุ๊ป O ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก
เหล่านี้เป็นเพียงแค่แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ อยู่ที่ตัวคุณเองแล้ว !!

ดื่มน้ำ ตอนไหนเวิร์กสุด



ดื่มน้ำ ตอนไหนเวิร์กสุด ๆ ?


การดื่มน้ำนอกจากจะทําให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสแล้ว ยังทําให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทํางานได้ดีอีกด้วย
ใน 1 วัน ควรดื่มเท่าไหร่ ?


ในทุก ๆ วัน ร่างกายจะต้องสูญเสียน้ำผ่านทางการหายใจและการขับถ่าย จึงเป็นสิ่งที่จําเป็นมากที่จะต้องรับน้ำเข้าไปเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป และโดยปกติเราจะเสียน้ำจากการปัสสาวะเฉลี่ยวันละประมาณ 1.5 ลิตร และอีกเกือบถึง 1 ลิตรสำหรับ การหายใจและเหงื่อ ซึ่งถ้าคุณดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร (ประมาณ 8 แก้ว) ก็จะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำในส่วนนี้ได้


แต่สําหรับปริมาณน้ำที่ควรดื่มให้ได้ภายใน 1 วันเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองแล้ว ถ้าเป็นหนุ่ม ๆ ควรดื่มให้ได้วันละ 3 ลิตร (ประมาณ 13 แก้ว) ส่วนสาว ๆ วันละ 2.2 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว)


สําหรับสาว ๆ สปอร์ตี้เกิร์ล จะต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เยอะกว่าคนปกติ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของกิจกรรมที่ทําด้วย ถ้าคุณออกกําลังกายในช่วงสั้น ๆ ก็ควรจะดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปครั้งละ 1-2 แก้วหลังจากออกกําลังกายแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงยาว ๆ ละก็เพิ่มขึ้นอีกสัก 2-3 แก้วก็ น่าจะเพียงพอแล้ว


ดื่มตอนไหน เวิร์กสุด ๆ


>>ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ


>>ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป


>>ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)


>>ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม)


>>ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น